阅读:18018回复:23

[语言交流]几则寓言:伯乐相马(泰语)

楼主#
更多 发布于:2008-05-10 12:21
是在泰语社区上看到的,帖过来与大家共享~~

ป๋อเล่อเซี่ยงหม่า(伯乐相马) : ป๋อเล่อเลือกม้า  
  
    伯乐 อ่านว่า ป๋อเล่อ หมายถึง คำเรียกคนคัดสรรม้าศึกในสมัยโบราณ  
      相 อ่านว่า เซี่ยง หมายถึง เลือก  
      马 อ่านว่า หม่า หมายถึง ม้า        
      伯乐相马 = ป๋อเล่อเลือกม้า  

  
    เชื่อกันว่าในสรวงสวรรค์มีเซียนวิเศษที่ทำหน้าที่ดูแลอาชาแห่งสวรรค์ ส่วนในโลกมนุษย์ก็มีผู้ที่มีความสามารถในการคัดเลือกยอดอาชาเช่นกัน โดยบุคคลเหล่านี้จะถูกเรียกว่า "ป๋อเล่อ"  
      
      ป๋อเล่อคนแรกในประวัติศาสตร์ มีชื่อเดิมว่า ซุนหยัง เป็นคนสมัยชุนชิว และเนื่องจากว่าเขามีความรู้เรื่องม้าอย่างลึกซึ้ง โดดเด่น ทำให้ผู้คนต่างพากันเรียกเขาว่าป๋อเล่อ แทนชื่อจริง
      
      วันหนึ่ง เขาได้รับมอบหมายจากอ๋องรัฐฉู่ ให้ไปซื้อหาม้าห้อพันลี้ ซึ่งมีฝีเท้าจัดเป็นเลิศในแผ่นดินมาถวายเป็นมาศึก ป๋อเล่อตอบตกลงโดยกล่าวกับท่านอ๋องว่า  
      "อันว่ายอดอาชาในแผ่นดิน มีจำนวนนับได้ การเสาะหาคงไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องใช้เวลา ดังนั้นขอให้ท่านอ๋องใจเย็นๆ " กล่าวจบจึงออกเดินทางไปเสาะหาม้าที่เหมาะสมทันที
      
      ป๋อเล่อเดินทางไปยังหลายรัฐหลายประเทศ แม้แต่ดินแดนที่ได้ชื่อว่าเป็นถิ่นกำเนิดยอดอาชา อย่างรัฐเอียน(燕) และรัฐเจ้า(赵) แต่ก็ไม่ปรากฏม้าที่มีลักษณะต้องประสงค์
      
      วันหนึ่งขณะที่เดินทางกลับจากการไปเสาะหาม้ายังรัฐฉี ป๋อเล่อพลันพบเห็นม้าตัวหนึ่งกำลังออกแรงลากเกวียนบรรทุกเกลืออยู่อย่างยากลำบาก มันหอบหายใจเสียงดัง และมีท่าทางอิดโรยเป็นอย่างยิ่ง ด้วยความที่ป๋อเล่อมีชีวิตผูกพันกับม้ามาโดยตลอด ทำให้เขารู้สึกสงสารและเข้าไปหาม้าตัวนั้น  
      
      เมื่อม้าพบเห็นป๋อเล่อเข้ามาใกล้ พลันเงยหน้า เบิ่งตาจ้องมอง พร้อมกับร้องออกมาด้วยเสียงดังกังวาน ราวกับจะบอกอะไรกับเขา ในครานั้นเองป๋อเล๋อได้แยกแยะจากเสียงร้องของเจ้าม้าบบรทุกเกลือ และพบว่า นี่เองคือสุดยอดอาชาที่เขาปรารถนา  
      
      ป๋อเล่อจึงกล่าวกับเจ้าของม้าในขณะนั้นว่า
      "ม้าตัวนี้หากวิ่งอยู่ในสนามรบ ฝีเท้าของมันจักไม่มีม้าตัวใดเทียบเทียมได้ แต่หากนำมาบรรทุกของ มันกลับไม่อาจเปรียบกับม้าธรรมดาๆ ตัวอื่น ท่านมิสู้มอบมันให้กับเราเถิด"
      
      เจ้าของม้าได้ยินก็เข้าใจว่าป๋อเล่อนั้นช่างโง่เขลา เนื่องจากที่ผ่านมา ม้าตัวนี้แทบไม่มีแรงลากเกวียน แถมยังกินจุ และมีขาที่ผอมราวกับไม้ฟืน จึงรีบตกลงขายให้กับโป๋เล่อไป
      
      ป๋อเล่อนำม้ากลับมายังรัฐฉู่ ขณะที่กำลังเดินเข้าสู่ที่ประทับของท่านอ๋อง ป๋อเล่อก็กล่าวเบาๆ กับม้าว่า  
      "ข้าหาเจ้านายที่คู่ควรมาให้เจ้าแล้ว" ม้าราวกับเข้าใจคำพูดของป๋อเล่อ พลันดีดขาหน้าขึ้นตะกุยอากาศ พร้อมทั้งร้องเสียงดังกังวาน จนกระทั่งท่านอ๋องได้ยินเสียง และรีบออกมาชมดู
      
      ป๋อเล่อเมื่อพบท่านอ๋องก็กล่าวว่า
      "ข้าน้อยนำยอดอาชากลับมาแล้ว ท่านโปรดพิจารณาดู"
      
      ฝ่ายท่านอ๋องเมื่อเห็นม้ามีลักษณะทึ่มทื่ออย่างยิ่ง ก็รู้สึกผิดหวัง เข้าใจว่าโดนป๋อเล่อหลอก จึงกริ้วและตรัสกับป๋อเล่อว่า
      "ข้าใช้ท่านหาม้า ก็เพราะเชื่อว่าท่านมีความสามารถ แต่ท่านกลับนำตัวอะไรไม่รู้มาให้ข้า ดูท่าทางมันแล้วขนาดเดินเฉยๆ ยังยาก จะให้ขี่ลงสนามรบคงเป็นไปไม่ได้"
      
      ป๋อเล่อรีบกล่าวว่า "ม้าตัวนี้ลักษณะทึ่มทื่อก็เพราะมันผ่านความยากลำบากมามาก แต่หากเจ้าของดูแลเอาใจใส่ ข้าน้อยรับรองว่าไม่เกินครึ่งเดือนมันจะกลับคืนสู่ลักษณะที่แท้จริง "  
      
      เมื่อได้ฟัง ท่านอ๋องมิได้เชื่อเท่าใดนัก แต่ก็ให้ทหารนำม้าไปดูแลอย่างดี ป้อนอาหารชั้นดีให้มันกิน จนกระทั่งเวลาผ่านไปไม่นาน มันก็กลับคืนสู่ลักษณะของยอดอาชา ยามที่ท่านอ๋องขึ้นขี่ เพียงใช้แส้กระตุ้นเบาๆ มันก็พุ่งทะยานไปมากกว่า 100 ลี้
      
      ต่อมามันได้กลายเป็นม้าศึกคู่กายอ๋อง และอ๋องรัฐฉู่ก็กลับมาให้ความนับถือในตัวป๋อเล่อดังเดิม
      
      ป๋อเล่อเซี่ยงหม่า ปัจจุบันใช้เปรียบเปรยถึงผู้ที่มีสายตาแหลมคมในการคัดสรรคนดีมีฝีมือ

最新喜欢:

跨境电商运营iMjmJ.Com跨境电商运营...
其实在声同,除了找资料以外,还可以交交朋友。欢迎光临声同网
rar分段压缩方法请点这里
沙发#
发布于:2008-05-10 12:22
杞人忧天(泰语)
ฉี่เหรินโยวเทียน(杞人忧天) : คนเมืองฉี่กังวลต่อฟ้า
 

      ในสมัยอดีตกาล รัฐฉี่(สมัยโจว ปัจจุบันอยู่ในมณฑลหูหนาน) มีชายผู้หนึ่งเป็นคนขี้ขลาดตาขาว และสติไม่ค่อยสมประกอบ เขามักจะขบคิดอยู่กับปัญหาแปลกประหลาด และเป็นปัญหาที่เมื่อเอาไปถามใครก็ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าเป็นคำถามที่ไร้สาระ หาแก่นสารไม่ได้
        
      อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อเขารับประทานอาหารค่ำเสร็จแล้ว ก็ถือพัดออกไปนั่งอยู่ที่หน้าประตูบ้าน และรำพึงรำพันกับตัวเองว่า
    
      "ถ้าวันใดวันหนึ่ง ฟ้าถล่มลงมา แล้วเราจะทำยังไงดีนะ จะหนีก็คงหนีไม่ทัน ต้องโดนฟ้าทับตายอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่แน่ๆ"
    
      ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาก็เอาแต่วิตกกังวลอยู่กับปัญหานี้ เพื่อนฝูงเมื่อเห็นว่าสติเขาเริ่มฟั่นเฟือนลงไปทุกวันๆ หน้าตาก็เศร้าหมองอมทุกข์ ก็ต่างเป็นห่วงเป็นใย และช่วยกันเตือนสติชายผู้นี้ว่า
        
      "เพื่อน ท่านอย่างมานั่งวิตกกังวลกับปัญหาแบบนี้เลย ท้องฟ้าไม่มีทางถล่มลงมาหรอก หรือถ้าสมมติว่าฟ้าถล่มลงมาจริง ก็ไม่ใช่เรื่องที่ท่านเพียงคนเดียวมาขบคิดวิเคราะห์แล้วสามารถแก้ไขได้ เพราะใต้ฟ้าก็ไม่ได้มีท่านเพียงคนเดียว ปล่อยวางเสียเถอะ"
      
      อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าใครจะตักเตือนหรือปลอบใจอย่างไร ชายชาวเมืองฉี่ผู้นี้ก็ไม่เชื่อ ยังคงวิตกกังวลกับปัญหานี้ต่อไป
      
      ต่อมา คนยุคหลังได้นำเรื่องเล่านี้มาตั้งเป็นสุภาษิต ฉี่เหรินโยวเทียน แปลตรงตัวคือ คนเมืองฉี่กังวลต่อฟ้า โดยในเรื่องคือคนเมืองฉี่กลัวฟ้าถล่ม ใช้เปรียบเทียบผู้ที่มัววิตกกังวลอยู่กับเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ หรือเรื่องที่ไม่มีที่มาที่ไป ไร้สาระ
其实在声同,除了找资料以外,还可以交交朋友。欢迎光临声同网
rar分段压缩方法请点这里
板凳#
发布于:2008-05-10 12:24
画饼充饥(泰语)
"ฮว่าปิ่งชงจี" (画饼充饥) : วาดรูปแป้งทอดแก้ความหิวโหย

      画 อ่านว่า huà แปลว่า วาดภาพ
      饼 อ่านว่า bǐng แปลว่า แป้งทอด
      充 อ่านว่า chōng แปลว่า เติมเต็ม
      饥 อ่านว่า jī แปลว่า หิวโหย t
        
      "ฮว่าปิ่งชงจี" คำแปล วาดรูปแป้งทอดแก้ความหิวโหย
        
      ในสมัยสามก๊ก มีชายผู้หนึ่งนามว่า หลูอี้ว์(卢毓) ซึ่งรับราชการอยู่ในรัฐเว่ย และเนื่องจากเขาได้คอยเสนอแนวคิดในการปกครองที่เป็นประโยชน์ต่ออ๋องเว่ยเหวินตี้มากมาย ดังนั้นท่านอ๋องจึงให้ความสำคัญกับเขาอย่างยิ่ง และแต่งตั้งเขาเป็นอัครเสนาบดี
      
      ครั้งหนึ่ง อ๋องเว่ยเหวินตี้กล่าวกับหลูอี้ว์ว่า "รัฐของเราจะมีผู้มีความสามารถมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับการคัดเลือกของท่าน จงอย่าเลือกใช้คนที่ชื่อเสียง เพราะผู้ที่มีชื่อเสียงก็เปรียบเสมือนการวาดรูปแป้งทอดลงบนพื้นดิน ได้แต่มองดูไม่สามารถกิน "
      
      หลูอี้ว์ ตอบว่า "อาศัยเพียงชื่อเสียงไม่สามารถวัดความสามารถของผู้ใดก็จริงแต่ก็สามารถทำให้ค้นพบผู้ที่มีความสามารถ เพราะคนเราเมื่อมีความสามารถ พฤติกรรมดีก็เป็นธรรมดาที่ย่อมมีชื่อเสียง ซึ่งเราไม่ควรมองข้ามพวกเขาไป ดังนั้นข้าพเจ้าเห็นว่าสิ่งสำคัญคือต้องทดสอบพวกเขา ว่าพวกเขามีความสามารถจริงหรือไม่ ทว่าตอนนี้ไม่มีระบบการสอบเพื่อคัดเลือกคนมีความสามารถ แต่อาศัยเพียงชื่อเสียงของผู้นั้นในการมอบตำแหน่งให้พวกเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง " 
      
      อ๋องเว่ยเหวินตี้เห็นด้วยกับความเห็นของ หลูอี้ว์ และกำหนดให้มีการใช้ระบบการสอบเพื่อเข้ารับราชการ
      
      ปัจจุบัน "ฮว่าปิ่งชงจี" ใช้เพื่อเปรียบเทียบกับการวาดมโนภาพขึ้นในใจเพื่อปลอบโยนตนเอง
其实在声同,除了找资料以外,还可以交交朋友。欢迎光临声同网
rar分段压缩方法请点这里
地板#
发布于:2008-05-10 12:25
指鹿为马(泰语)
จื่อลู่เหวยหม่า (指鹿为马): ชี้กวางเป็นม้า

      ในสมัยฮ่องเต้องค์ที่ 2 ของราชวงศ์ฉิน มีขันทีนามว่า เจ้าเกา (赵高) เป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง เฝ้าคิดช่วงชิงบัลลังก์ฮ่องเต้ แต่อย่างไรก็ตาม ในราชวังก็ยังคงมีขุนนางที่จงรักภักดีต่อฮ่องเต้อยู่ไม่น้อยที่เป็นเสี้ยนหนามของเจ้าเกา ดังนั้นเจ้าเกาจึงคิดหาวิธีที่จะทดสอบว่าตนเองมีบารมีมากน้อยแค่ไหน รวมทั้งยังสามารถตรวจสอบได้ว่าใครเป็นปรปักษ์ต่อเขา
    
      วันหนึ่งขณะที่ฮ่องเต้กำลังออกว่าราชการ เจ้าเกาให้คนจูงกวางเข้ามาในเขตพระราชฐาน 1 ตัว แล้วเขาจึงกราบทูลต่อฮ่องเต้ว่า
      “กระหม่อมได้นำม้าลักษณะดีตัวนี้มาถวายต่อพระองค์”
    
      ฮ่องเต้ได้ฟังก็คิดในใจว่า นี่มันกวางชัดๆ จึงตรัสกับเจ้าเกาว่า
      “เจ้าเกาท่านผิดแล้ว นี่มันกวางชัดๆ ใยท่านบอกว่าเป็นม้า”
      
      แต่อย่างไรเสียเจ้าเกาก็ดันทุรังว่าสัตว์ที่ตนเองนำมานั้นเป็นม้าอย่างแน่นอน ทำให้ฮ่องเต้เริ่มหวั่นไหวใจ ตรัสถามว่า หากเป็นม้าทำไมมีเขายาว เมื่อเห็นดังนั้น เจ้าเกาก็ดำเนินตามแผนที่วางไว้ กล่าวคือหันไปทางขุนนางน้อยใหญ่ที่อยู่ในที่นั้นและกราบทูลฮ่องเต้ว่า
      “หากพระองค์ไม่เชื่อ สามารถสอบถามเหล่าขุนนางพวกนี้ได้ว่าแท้จริงแล้วสัตว์ตัวนี้คืออะไร”  
  
      พลัน เหล่าขุนนางก็เข้าใจแผนการของเจ้าเกา ที่ต้องการตรวจสอบว่ามีคนคิดเป็นปรปักษ์กับเขาหรือไม่ บรรดาขุนนางน้อยที่ขี้ขลาดตาขาวหลายคนต่างก้มหน้านิ่งไม่กล้าพูดจา เนื่องจากไม่กล้าขัดใจเจ้าเกา แต่ทางหนึ่งก็ไม่อยากกล่าวคำที่เห็นชัดๆว่าเป็นเท็จออกมา มีขุนนางซื่อสัตย์บางคนยืนยันว่าที่เห็นอยู่เป็นกวางอย่างแน่นอน และอีกหลายคนที่เป็นคนของเจ้าเกา หรือคิดที่จะสวามิภักดิ์ต่อเจ้าเกา ก็ตอบว่า ที่เห็นนั่นคือม้าอย่างมิต้องสงสัย
      
      ด้วยแผนการนี้ ขันทีโฉดจึงสามารถแบ่งแยกขุนนางในวังได้ว่าใครเป็นพวกเดียวกับเขา และใครไม่ใช่ หลังจากนั้นจึงค่อยๆ หาวิธีการกำจัดคนที่ไม่คิดสวามิภักดิ์ต่อตนออกไปจนหมดสิ้น
      
      ปัจจุบันใช้สำนวนนี้เพื่อเปรียบเทียบ การจงใจบิดเบือนข้อเท็จจริง กลับขาวเป็นดำ กลับดำเป็นขาว
其实在声同,除了找资料以外,还可以交交朋友。欢迎光临声同网
rar分段压缩方法请点这里
4#
发布于:2008-05-10 12:26
狐假虎威(泰语)
หูเจี้ยหู่เวย(狐假虎威)สุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ

      ในสมัยจั้นกั๋ว(สงครามระหว่างรัฐ) เมื่อครั้งที่รัฐฉู่เข้มแข็งถึงที่สุด อ๋องฉู่เซวียน(楚宣王)เกิดความคลางแคลงใจว่า เหตุใด ทุกรัฐในแดนเหนือจึงได้กลัวเกรงแม่ทัพซีซู่(奚恤)ซึ่งเป็นแม่ทัพใต้บังคับบัญชาของพระองค์นัก พระองค์จึงได้สอบถามปัญหานี้กับบรรดาขุนนางข้างกายของพระองค์      
      มีขุนนางนามว่า เจียงอี่ว์ (江乙)มิได้ตอบคำถามอ๋องรัฐฉู่โดยตรง แต่กลับเล่านิทานเรื่องหนึ่งถวายพระองค์ เรื่องมีอยู่ว่า

      กาลครั้งหนึ่ง มีเสือตัวใหญ่อาศัยอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ด้วยความหิว จึงออกมาหาอาหาร และได้พบกับสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งกำลังเดินอยู่ในป่าลึก จึงได้ตะครุบเพื่อหวังกินเป็นอาหาร แต่ธรรมชาติของสุนัขจิ้งจอกนั้นมีความกลิ้งกลอก เพื่อความอยู่รอดมันจึงชิงกล่าวกับเสือว่า
      "แกรู้หรือเปล่าว่าข้าเป็นใคร ข้าได้รับคำสั่งจากสวรรค์ให้มาดูแลควบคุมสัตว์ต่างๆบนโลกนี้ ถ้าแกกินข้าก็เท่ากับขัดคำสั่งสวรรค์ ต้องโดนสวรรค์ทำโทษแน่นอน"
      
      เมื่อเสือได้ยินดังนั้นก็หยุดชะงัก ในใจเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง พอเห็นดังนั้นจิ้งจอกได้ทีจึงรียพูดต่อว่า
        "ถ้าเจ้าไม่เชื่อ เดี๋ยวเดินตามหลังข้ามา แล้วคอยดูว่าพอสัตว์ต่างๆพบข้า พวกมันต่างก็กลัวจนหัวหดหรือไม่ " เสือได้ฟังก็เห็นว่าวิธีนี้ไม่เลว จึงเดินตามจิ้งจอกไป
      
      ดังนั้นจิ้งจอกเดินนำ เสือเดินตาม เมื่อไปที่ไหน สัตว์น้อยใหญ่เห็นเข้าก็แตกฮือ หนีกระเจิดกระเจิง จิ้งจอกยิ่งกระหยิ่มยิ้มย่อง ส่วนเสือเห็นดังนั้นก็เริ่มเกรงจิ้งจอกขึ้นมา โดยไม่รู้เลยว่าสัตว์ต่างๆ ไม่ได้กลัวหมาจิ้งจอก แต่วิ่งหนีตนต่างหาก
    
      แม้ว่าแผนการของจิ้งจอกจะสำเร็จ แต่ที่มันสามารถมีชีวิตต่อไปได้ก็ด้วยการหยิบยืมอำนาจของเสือมาใช้ทั้งสิ้น มิใช้ด้วยบารมีของตนเองแต่อย่างใด
      เล่าถึงตรงนี้ ขุนนางเจียงอีว์จึงสรุปว่า ที่รัฐแดนเหนือกลัวแม่ทัพซีซู่ ก็เป็นเพราะกำลังทหารทั้งหมดของท่านอ๋องอยู่ในมือเขา หรือกล่าวได้ว่า ที่ผู้คนกลัวคือบารมีของท่านอ๋อง หาใช่ตัวตนของแม่ทัพซีซู่ไม่
      
      นี่คือที่มาของสุภาษิต “狐假虎威”
其实在声同,除了找资料以外,还可以交交朋友。欢迎光临声同网
rar分段压缩方法请点这里
5#
发布于:2008-05-10 12:27
画蛇添足(泰语)
ฮว่าเสอเทียนจู๋ (画蛇添足) : วาดงูเติมขา
 
      画 แปลว่า วาด
      蛇 แปลว่า งู
      添 แปลว่า เติม
      足 แปลว่า เท้า(ขา)
      
      ในสมัยสงครามระหว่างรัฐ(จั้นกั๋ว) มีครอบครัวครอบครัวหนึ่งในรัฐฉู่ เมื่อทำพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษแล้วมักจะมอบสุราให้กับผู้ที่มาช่วยงานเป็นการตอบแทน 1 ไห แต่ในความเป็นจริงแล้วสุรา 1 ไหมีปริมาณน้อยเกินไป หากแบ่งให้ทุกคนดื่มต่างก็ดื่มได้ไม่เต็มที่ ไม่สู้ดื่มเพียงคนเดียว
      
      ผู้ที่มาช่วยงานผู้หนึ่งจึงออกความเห็นว่า
      "เพื่อความเป็นธรรม เอาอย่างนี้ดีกว่า พวกเราวาดรูปงูแข่งกัน ใครวาดเสร็จก่อนก็ได้สุราไหนั้นไป"
      
      คนอื่นๆ ต่างเห็นด้วย จึงพากันวาดรูปงูลงบนพื้น สักพักมีคนผู้หนึ่งวาดเสร็จก่อน แต่เมื่อเขามองไปรอบๆ เห็นคนอื่นยังคงก้มหน้าก้มตาวาดกันอยู่ เขาจึงกระหยิ่มใจ และคิดว่าเพื่อเป็นการแสดงให้คนอื่นเห็นว่าตนวาดภาพเร็วมาก หากวาดขาเติมลงไปในรูปงูของตนเองอีก 4 ข้างก็ยังทัน คิดได้ดังนั้นจึงวาดต่อ แต่วาดยังไม่ทันเสร็จ มีคนอีกผู้หนึ่งวาดรูปงูเสร็จแล้ว และเดินไปหยิบไหสุรามาถือไว้ก่อนใคร ทั้งยังเดินมากล่าวกับชายที่เติมขาให้งูว่า
      "ท่านจะมัวเติมขาให้งูไปทำไม ในเมื่อความจริงงูไม่มีขา งูที่มีขาย่อมไม่ใช่งู"
      
      หลังจากกล่าวจบก็ดื่มสุราไหนั้นจนหมดเกลี้ยง
      
      นั่นคือที่มาของสุภาษิต "ฮว่าเสอเทียนจู๋" หรือ "วาดงูเติมขา"
      
      ปัจจุบันใช้เพื่อเปรียบเทียบกับการทำสิ่งที่เกินจำเป็น เกินพอดี ไม่มีเหตุผล ซึ่งนอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้วยังเสียเวลา และอาจจะทำให้เรื่องราวเลวร้ายลงไปอีกด้วย
其实在声同,除了找资料以外,还可以交交朋友。欢迎光临声同网
rar分段压缩方法请点这里
6#
发布于:2008-05-10 12:29
退避三舍(泰语)
ทุ่ยปี้ซานเซ่อ(退避三舍): ถอยให้ 90 ลี้

      退避 อ่านว่า ทุ่ยปี้ แปลว่า ถอย
      三 อ่านว่า ซาน แปลว่า สาม
      舍 อ่านว่า เซ่อ เป็นหน่วยวัดของจีนโบราณ 1 เซ่อ เท่ากับ 30 ลี้
      
      ในสมัยชุนชิว อ๋องจิ้นเสี้ยนกงได้ฟังคำยุแยงใส่ร้ายจนสั่งสังหารองค์ชายเซินเซิง และยังส่งคนไปจับตัวองค์ชายฉงเอ่อผู้น้องของเซินเซิง เมื่อฉงเอ่อทราบข่าวจึงหนีออกจากรัฐจิ้น และใช้ชีวิตอยู่ต่างแดนนานกว่า
      
      ผ่านความลำบากนานับประการ องค์ชายฉงเอ่อเดินทางมาถึงรัฐฉู่ อ๋องฉู่เฉิงได้ต้อนรับขับสู้ฉงเอ่ออย่างดีในฐานะอาคันตุกะจากต่างรัฐ เนื่องจากเชื่อว่าต่อไปฉงเอ่อจะต้องเป็นใหญ่ในแผ่นดิน
      
      วันหนึ่ง อ๋องรัฐฉู่จัดงานเลี้ยงเพื่อรับรองฉงเอ๋อ ทั้งสองดื่มสุราพลางสนทนา บรรยากาศสนิทสนมอย่างยิ่ง
      
      อ๋องฉู่ตรัสถามฉงเอ่อว่า "หากวันใดที่ท่านกลับไปปกครองรัฐจิ้น ท่านจะตอบแทนเราอย่างไร?"
    
      องค์ชายฉงเอ่อตอบว่า "รัฐฉู่พรั่งพร้อมทั้งหญิงงาม แพรไหม และทรัพย์สมบัติ ทั้งยังมีผืนแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์เช่นนี้ รัฐจิ้นจะสามารถหาสิ่งใดมาตอบแทนให้ท่านได้ "
    
      อ๋องรัฐฉู่พลันตอบว่า "ท่านอย่าได้ถ่อมตัวจนเกินไป ถึงอย่างไรท่านก็ควรจะมีอะไรมาตอบแทนเราบ้างมิใช่หรือ?"
      
      องค์ชายฉงเอ่อยิ้มพลางกล่าวว่า "หากหม่อมฉันได้กลับบ้านเมืองไปเป็นผู้ปกครองจริงดั่งว่า รัฐจิ้นยินดีที่จะเป็นพันธมิตรกับรัฐฉู่ แต่หากวันใดที่รัฐจิ้นต้องทำสงครามกับรัฐฉู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หม่อมฉันจะสั่งให้กองทหารถอยทัพให้รัฐฉู่ 3 เซ่อ(1 เซ่อเท่ากับ 30 ลี้) หากท่านอ๋องยังไม่พอใจ หม่อมฉันคงได้แต่ทำสงครามแล้ว"

      เวลาผ่านไป 4 ปี ฉงเอ่อได้กับรัฐจิ้นแล้วดำรงตำแหน่งอ๋องจริงดั่งคาด และเป็นอ๋องที่มีชื่อเสียงอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ นามว่า จิ้นเหวินกง ซึ่งเป็นผู้ส่งเสริมให้รัฐจิ้นเข้มแข็งและเจริญรุ่งเรือง
      
      633 ปีก่อนคริสตกาล รัฐจิ้นจึงได้ทำสงครามกับรัฐฉู่ ในสงคราม อ๋องจิ้นเหวินกงหรือฉงเอ่อได้ทำตามสัญญาที่เคยลั่นวาจาไว้ โดยสั่งให้กองทหารถอยให้กับทัพรัฐฉู่เป็นระยะทาง 90 ลี้
      
      เมื่อกองทหารรัฐฉู่เห็นว่ารัฐจิ้นถอยทัพ ก็เข้าใจว่ารักตัวกลัวตาย จึงพากันบุกเข้าไปโจมตีด้วยความย่ามใจ
      
      เมื่อกองกำลังรัฐฉู่มีความมั่นใจในตนเองมากเกินไป กองทัพรัฐจิ้นจึงได้อาศัยจุดอ่อนนี้ทุ่มเทกำลังทหารเพื่อตั้งรับและโจมตี สุดท้ายรัฐจิ้นก็ได้รับชัยชนะในสงครามครั้งนั้น
      
      “ทุ่ยปี้ซานเซ่อ” หรือ “ถอยให้ 90 ลี้” ปัจจุบันใช้เปรียบเปรย หมายถึง ไม่สู้รบปรบมือกับผู้อื่น หรือยอมถอยให้อีกฝ่ายด้วยความสมัครใจ
其实在声同,除了找资料以外,还可以交交朋友。欢迎光临声同网
rar分段压缩方法请点这里
7#
发布于:2008-05-10 12:31
草木皆兵(泰语)
เฉ่ามู่เจียปิง (草木皆兵 ) : ต้นไม้ใบหญ้าล้วนเป็นกองทหารทั้งสิ้น

      草 อ่านว่า เฉ่า แปลว่า หญ้า
      木 อ่านว่า มู่ แปลว่า ไม้
      皆 อ่านว่า เจีย แปลว่า ทั้งหมด
      兵 อ่านว่า ปิง แปลว่า ทหาร

      คริสศตวรรษที่ 383 รัฐเฉียนฉิน (ฉินยุคก่อน) ภายใต้การปกครองของอ๋องฝูเจียนซึ่งควบรวมดินแดนทางตอนเหนือเกือบทั้งหมด ได้นำกองทัพทหารและม้าราว 9 แสนลงใต้เพื่อโจมตีรัฐตงจิ้น(จิ้นตะวันออก) อ๋องแห่งตงจิ้น แต่งตั้งเซี่ยสือและเซี่ยเสวียน 2 พี่น้องเป็นแม่ทัพ นำกำลังพลราว 8 หมื่นเข้าต้าน
      
      อ๋องฝูเจียน เชื่อมั่นว่าทัพของตนต้องได้ชัยชนะอน่นอน เนื่องจากกองทัพจิ้นขณะนั้นทั้งอ่อนแอ และมีจำนวนทหารน้อยกว่ารัฐฉินมากนัก อ๋องฝูเจียนตั้งทัพอยู่ที่เมืองโซ่วหยัง (ปัจจุบันคือเมืองโซ่วในมณฑลอันฮุย) และได้ส่งคนผู้หนึ่ง นามว่าจูซี่ว์เดินทางไปยังรัฐจิ้นเพื่อส่งข่าวข่มขวัญแม่ทัพเซี่ยสือ
    
      จูซี่ว์นั้นเดิมเป็นชาวตงจิ้น อดีตมีตำแหน่งถึงเจ้าเมืองนายทัพรักษาการเมืองโซ่วหยังซึ่งเป็นอดีตเชลยศึกของเฉียนฉิน ปัจจุบันถูกชุบเลี้ยงเป็นขุนนางในพระราชสำนักในตำแหน่งอาลักษณ์ แต่ด้วยความภักดีต่อรัฐตงจิ้น ดังนั้นเมื่อเขาพบกับแม่ทัพเซี่ย และรายงานความตามที่อ๋องรัฐฉินสั่งมาเรียบร้อยแล้ว จึงแนะนำให้กองทัพจิ้น ถือโอกาสตอนที่กำลังหนุนของทัพฉินยังไม่มา เข้าจู่โจมเมืองลั่วเจี้ยนก่อน แม่ทัพเซี่ยเห็นด้วยจึงนำกองกำลังจู่โจม ผลคือได้ชัยชนะกลับมาทำให้กองทหารจิ้นคึกคักอักโข ดังนั้นจึงเดินทัพมาตั้งค่าย ณ อีกฝั่งของริมน้ำเฝยสุ่ย (ปัจจุบันคือแม่น้ำเฝย สาขาแม่น้ำหวยเหอทางภาคกลางของมณฑลอันฮุยในปัจจุบัน)
      
      เมื่อฝูเจียนได้รับข่าวว่าทหารจิ้นชนะและมาตั้งค่าย ณ อีกฝั่งของริมน้ำเฝยสุ่ย ก็ตกใจมากและรีบขึ้นไปมองดูจากบนกำแพงเมือง เมื่อมองไปไกลๆ เห็นกองทหารจิ้น ตั้งค่ายอย่างเป็นระบบระเบียบ มั่มคงยิ่งนัก จนอ๋องฝูเจียนลอบชมเชยเบาๆ
    
      ยิ่งไปกว่านั้น เมื่ออ๋องรัฐฉินมองขึ้นไปยังยอดเขาปากงซาน คลับคล้ายว่าคลาคล่ำไปด้วยกองทหารจิ้นที่กำลังโบกสะบัดธงแห่งชัยชนะ ซึ่งหากเพ่งดูอย่างละเอียดนั่นเป็นเพียงต้นไม้ใบหญ้าที่กำลังไหวเอนไปมาไม่มีทหารจิ้นแม้สักผู้เดียว แต่อ๋องฝูเจียนตาฝาด พลันเห็นเป็นกองทัพที่แสนจะเข้มแข็งและทรงพลานุภาพ จึงเกิดความตระหนกอย่างยิ่ง จนต้องกล่าวออกมาว่า
      “นี่คือกองทัพอันยิ่งใหญ่ เหตุใดจึงกล่าวว่ากองทัพจิ้นอ่อนแอ?”
        
      หลังจากนั้นไม่นาน อ๋องฝูเจียนก็สั่งกองทหารทำทีเป็นถอยทัพเพื่อให้กองทัพจิ้นข้ามมารบกันที่ฝั่งน้ำด้านนี้ โดยวางแผนว่าเมื่อทหารจิ้นข้ามมาถึงกลางน้ำ ฝ่ายกองทัพฉินก็จะลงมือโจมตีทันที
      
      แต่เนื่องจากทหารเฉียนฉินบางส่วนได้รับฟังคำกล่าวปากต่อปากว่าทหารจิ้นเข้มแข็งยิ่งนักจึงเกิดความกลัว พอมีคำสั่งถอยทัพ ก็หันหลังวิ่งหนีไปจริงๆ ประกอบกับเมื่อทัพจิ้นยกข้ามมา จูซี่ว์ ได้ตะโกนว่า “ทัพฉินแพ้แล้วๆ”  ทำให้กองทหารฉินที่อยู่เบื้องหลังเห็นเพียงแต่ทหารกองหน้าวิ่งหนีกลับเข้ามาและได้ยินคำกล่าวนั้นต่างปักใจเชื่อว่าเป็นจริงจึงวิ่งหนีเอาตัวรอดด้วย
      
      ผลของการสู้รบรัฐเฉียนฉินจึงพ่ายแพ้ให้กับตงจิ้นอย่างราบคาบ
        
      การศึกครั้งนี้ เป็นการศึกครั้งสำคัญครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์จีน โดยเรียกว่า “เฝยสุ่ยจือจั้น” หรือ “การศึกที่แม่น้ำเฝย” เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของการศึกที่ใช้คนน้อยชนะคนมาก คนอ่อนแอชนะคนเข้มแข็ง
      
      ภายหลัง “เฉ่ามู่เจียปิง” หรือ เหมาว่าต้นไม้ใบหญ้าต่างเป็นทหารศัตรู ถูกนำมาเป็นสุภาษิต ใช้เปรียบเทียบกับอาการกลัวเกินกว่าเหตุ กลัวจนแทบไม่เป็นผู้เป็นคน
其实在声同,除了找资料以外,还可以交交朋友。欢迎光临声同网
rar分段压缩方法请点这里
8#
发布于:2008-05-10 12:31
暗箭伤人(泰语)
อ้านเจี้ยนซางเหริน(暗箭伤人) : ใช้ธนูลอบทำร้ายคน

  暗 อ่านว่า อ้าน แปลว่า มืด หรือ ไม่เปิดเผย
      箭 อ่านว่า เจี้ยน แปลว่า ธนู
      伤 อ่านว่า ซาง แปลว่า ทำร้าย
      人 อ่านว่า เหริน แปลว่า คน
      
      สมัยชุนชิว อ๋องรัฐเจิ้งได้รับการสนับสนุนจากรัฐฉี และรัฐหลี่ว์ วางแผนที่จะทำสงครามกับรัฐสี่ว์ (รัฐสี่ว์เป็นรัฐเล็กๆ ปัจจุบันคือเมืองสี่ว์ชางในมณฑลเหอหนาน ส่วนรัฐเจิ้งอยู่ทางตอนเหนือของรัฐสี่ว์ )
    
      ปีหนึ่งในช่วงฤดูร้อน เดือนห้า อ๋องเจิ้งทำการทดสอบความเข้มแข็งของกองทหาร โดยการให้มีการแข่งขันชิงรถม้า ระหว่างแม่ทัพเก่าแก่นามว่า หยิ่งซูเข่า กับแม่ทัพวัยหนุ่มนาม กงซุนจื่อตู ฝ่ายหยิ่งซู่เข่า แม้จะสูงวัยกว่า แต่เป็นแม่ทัพแกล้วกล้ามีกำลังเข้มแข็ง เมื่อมือจับรถม้าได้ก็วิ่งลากออกไปด้วยความรวดเร็ว ส่วนกงซุนจื่อตู ซึ่งปกติไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา มีความมั่นใจในตัวเองสูง เห็นดังนั้นจึง รีบไล่ตาม แต่เมื่อไล่ตามมาถึงถนนใหญ่ หยิ่งซูเข่าก็ลับหายไม่ทิ้งร่องรอย ทำให้กงซุนจื่อตูแค้นใจเป็นอันมาก

      เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วง เดือนเจ็ด อ๋องเจิ้งมีคำสั่งให้ไปโจมตีรัฐสี่ว์ ทหารเจิ้งบุกตีเข้าไปจนถึงเมืองหลวงของรัฐสี่ว์ หยิ่งซูเข่ารบด้วยความกล้าหาญ วิ่งนำกองทัพปีนขึ้นกำแพงเมืองเป็นคนแรก กงซุนจื่อตูเห็นดังนั้นแล้วก็คิดอิจฉาความเข้มแข็งของหยิ่งซูเข่าประกอบกับความแค้นเรื่องชิงรถมาที่ผ่านมา เขาจึงอาศัยช่วงชุลมุนลอบยิงธนูใส่แม่ทัพอาวุโสจนถึงแก่ความตาย
      เนื่องจากความชุลมุนในสงคราม ทำให้แม่ทัพ และทหารเจิ้งต่างพากันคิดว่าแม่ทัพหยิ่งซูเข่าโดนทหารรัฐสี่ว์ฆ่าตาย จึงเกิดเพลิงแค้นบุกตีเมืองหลวงสี่ว์จนราบคาบ ทำให้อ๋องรัฐสี่ว์หนีตายไปหลบยังรัฐเว่ย
      
      เหตุการณ์ “ใช้ธนูลอบทำร้ายคน” ภายหลังได้มีการนำมาเป็นคำเปรียบเทียบกับแผนการ หรือพฤติกรรมลอบทำร้ายผู้อื่น
其实在声同,除了找资料以外,还可以交交朋友。欢迎光临声同网
rar分段压缩方法请点这里
9#
发布于:2008-05-10 12:33
五十步笑百步(泰语)
อู่สือปู้เสี้ยวไป่ปู้ (五十步笑百步) : วิ่ง 50 ก้าวหัวเราะเยาะวิ่ง 100 ก้าว

    ครั้งหนึ่งในสมัยสงครามระหว่างรัฐ(战国 : จั้นกั๋ว) ปราชญ์ผู้มีชื่อเสียง เมิ่งจื่อ(孟子) ได้เข้าสนทนากับ อ๋องเหลียงฮุ่ย(梁惠王) แห่งรัฐเว่ย(魏国)

      อ๋องเหลียงฮุ่ยมีปัญหาที่คิดไม่ตรง จึงตรัสถามเมิ่งจื่อว่า
      "เราทุ่มเทแรงกายแรงใจปกครองแผ่นดิน ดูแลราษฎรเป็นอย่างดี คราวหนึ่งราษฎรด้านฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเกิดอัคคีภัย เราก็สั่งอพยพผู้คนไปอยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำ แล้วยังแจกข้าวสารอาหารแห้งแก่ผู้ประสบภัย ซึ่งถ้าราษฎรด้านตะวันออกของแม่น้ำเกิดภัย เราก็จะกระทำเยี่ยงนี้เช่นกัน ส่วนรัฐเพื่อนบ้านอื่นๆ ไม่เห็นอ๋องรัฐใดทุ่มเทแรงใจปกครองแผ่นดินเช่นที่เรา แล้วทำไมราษฎรของรัฐอื่นก็ยังมากเท่าเดิมไม่เคยลดน้อยลง ขณะเดียวกับทำไมราษฎรของรัฐเราก็กลับมีจำนวนน้อยเท่าเดิม ไม่เพิ่มขึ้นเลย ทั้งๆที่เราพยายามดูแลอย่างดี นั่นเป็นเพราะเหตุใด"
      
      เมิ่งจื่อกล่าวตอบว่า
      "เนื่องด้วยท่านอ๋องชอบทำสงคราม ดังนั้นโปรดให้ข้าพเจ้าเปรียบเปรยเรื่องนี้กับการทำสงครามเถิด...

      ในสงคราม ย่อมมีทหารที่รักตัวกลัวตาย หากทหารเหล่านั้นกำลังวิ่งหนีทหารทัพข้าศึก โดยผู้ที่วิ่งหนีบางคนวิ่งเร็ว วิ่งไปได้ 100 ก้าว บางคนวิ่งช้าวิ่งไปได้เพียง 50 ก้าว แต่คนที่วิ่งไปได้เพียง 50 ก้าวกลับหัวเราะเยาะคนวิ่ง 100 ก้าวว่าเป็นคนรักตัวกลัวตายกว่า ทั้งๆ ที่จุดประสงค์ของการวิ่งก็คือหลบหนี เช่นกัน แถมตนเองยังวิ่งช้ากว่าด้วยซ้ำไป เช่นนี้ท่านอ๋องคิดว่าถูกต้องหรือไม่"

      อ๋องเหลียงฮุ่ยตรัสตอบทันทีว่า
      "นั่นย่อมไม่ถูกต้อง เพราะไม่ว่าจะวิ่งไปได้กี่ก้าวก็ถือว่าจิตใจขลาดเขลา ต้องการหลบหนีเช่นกัน ยอมมีความผิดทั้งคู่"
      
      เมิ่งจื่อได้ยินเช่นนั้นจึงกล่าวว่า
      "ในเมื่อท่านอ๋องเข้าในเหตุผลข้อนี้ ก็ย่อมที่จะเข้าใจว่า ทำไมราษฎรของรัฐอื่นก็ยังมากเท่าเดิมไม่เคยลดน้อยลง ขณะเดียวกับทำไมราษฎรของท่านก็กลับมีจำนวนน้อยเท่าเดิม ไม่เพิ่มขึ้นเลย นั่นเพราะ แม้ว่าท่านจะดูแลประชากรดีกว่ารัฐใกล้เคียงอยู่บ้าง แต่ท่านก็ชื่นชมการทำสงครามเช่นเดียวกับอ๋องรัฐอื่นๆ ซึ่งไม่ว่าที่ใด การสงครามย่อมทำให้ผู้คนลำบากยากแค้น ฉะนั้นราษฏรของท่านและราษฏรรัฐอื่นย่อมประสบชะตากรรมเดียวกัน ท่านเองย่อมมีส่วนบกพร่องเช่นเดียวกับอ๋องรัฐเพื่อนบ้าน " 
    
      ปัจจุบันสุภาษิต "อู่สือปู้เสี้ยวไป่ปู้(五十步笑百步)" หรือ วิ่ง 50 ก้าวหัวเราะเยาะวิ่ง 100 ก้าว หมายถึงผู้ที่มีความผิดหรือข้อบกพร่องเช่นเดียวกับผู้อื่นแม้ว่าจะเบากว่าเล็กน้อย แต่ก็ไม่ควรหัวเราะเยาะหรือประนามผู้อื่นเพราะถึงอย่างไรตนเองก็ผิดหรือมีข้อบกพร่องเช่นเดียวกัน
其实在声同,除了找资料以外,还可以交交朋友。欢迎光临声同网
rar分段压缩方法请点这里
10#
发布于:2008-05-10 12:34
酒酸不售(泰语)
จิ่ว ซวน ปู๋ โซ่ว(酒酸不售) : สุราเปรี้ยวขายไม่ออก

      จากบันทึกในหนังสือ “หานเฟยจื่อ ไว่ฉู่ซัวโย่วซั่ง”
      
      รัฐซ่ง มีคนผู้หนึ่งขายสุรา ค้าขายอย่างยุติธรรม ทั้งยังต้อนรับขับสู้ลูกค้าด้วยมารยาทอันดียิ่ง หนำซ้ำสุราที่นี่ก็รสชาติยอดเยี่ยม ดีกรีสูง ทว่ากิจการการค้าของเขากลับไม่ดีนัก สุราขายไม่ออก นานวันเข้าสุราเก่าเก็บก็มีรสเปรี้ยวหมดทั้งสิ้น
      
      คนผู้นี้ขบคิดไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใดสุราจึงขายไม่ออก จึงได้เชิญ หยังเชี่ยน ซึ่งเป็นผู้อาวุโสในหมู่บ้านมาปรึกษา
        
      ผู้เฒ่าแซ่หยังบอกว่า "สุนัขบ้านเจ้าดุเกินไป" คนขายสุราได้ฟังก็งุนงงมากขึ้น และถามกลับว่า "สุนัขดุ เกี่ยวอะไรกับขายสุราไม่ออกหรือ?" ผู้เฒ่าหยังตอบว่า "สุนัขดุ ลูกค้าย่อมกลัวจนไม่อยากเข้าร้าน เพราะบางคนก็ใช้เด็กน้อยกำเงิน หิ้วไห เพื่อมาซื้อสุรา มาเจอสุนัขดุกระโจนเข้าใส่เช่นนี้ ทุกคนต่างพากันเข็ดขยาด แบบนี้จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้สุราที่นี่ไม่มีคนซื้อจนเปรี้ยวไปหมดแล้ว"

      จากเรื่องเล่าข้างต้น ร้านสุราเปรียบได้กับประเทศ มีผู้มีความรู้ความสามารถ มีคุณธรรม มีแนวทางในการปกครองประเทศที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองพร้อมที่จะกราบทูลฮ่องแต้ แต่น่าเสียดายที่ข้างกายฮ่องเต้รายล้อมไปด้วยขุนนางโฉด ที่เปรียบดังสุนัขดุพร้อมจะขย้ำหากใครแหยมเข้าไป ทำให้บ้านเมืองขาดคนดีมีความสามารถเข้ามาช่วยพัฒนา

      สุราขายไม่ออกจนรสชาติเปลี่ยนเป็นเปรี้ยว เดิมทีใช้เปรียบเทียบกับ ขุนนางโฉดที่พยายามเพ็ดทูลความเท็จต่อฮ่องเต้ เพื่อขัดขวางไม่ให้ผู้มีความรู้มีคุณธรรมมาทำงานให้บ้านเมือง ภายหลังใช้เปรียบเทียบกับการหมดหนทางค้าขาย หรือการทำงานใดๆ ที่ใช้คนไม่เหมาะสมกับงาน
其实在声同,除了找资料以外,还可以交交朋友。欢迎光临声同网
rar分段压缩方法请点这里
11#
发布于:2008-05-10 12:35
覆水难收(泰语)
ฟู่สุ่ยหนานโซว (覆水难收):สายน้ำไม่หวนคืน


      覆 อ่านว่า ฟู่ แปลว่า คว่ำ
      水 อ่านว่า สุ่ย แปลว่า น้ำ
      难 อ่านว่า หนาน แปลว่า ยาก
      收 อ่านว่า โซว แปลว่า เก็บ
    
      ปลายราชวงศ์ซาง มีคนผู้หนึ่งที่ฉลาดปราดเปรื่องเป็นอย่างยิ่ง เขาแซ่เจียง นามว่าซั่ง คนทั่วไปเรียกเขาว่า “เจียงไท่กง” หรือ “เจียงจื่อหยา” เป็นบุคคลสำคัญผู้ร่วมมือช่วยเหลืออ๋องโจวเหวิน และอ๋องโจวอู่ล้มล้างราชวงศ์ซาง ภายหลังได้รับแต่งตั้งให้ปกครองรัฐฉี และเป็นอ๋องคนแรกของรัฐฉีในสมัยชุนชิว
      
      เจียงไท่กงเคยรับราชการในราชวงศ์ซาง แต่เนื่องจากไม่พอใจลักษณะการปกครองที่ใช้วิธีโหดเหี้ยมทารุณของอ๋องโจ้ว จึงได้ลาออกจากการเป็นขุนนาง หลบลี้ไปพำนักอยู่ในถิ่นทุรกันดารริมแม่น้ำเว่ยสุ่ยมณฑลส่านซี และเพื่อที่จะได้ใช้ความรู้ความสามารถของตนเพื่อบ้านเมืองอย่างเต็มที่ เขาจึงต้องการทำงานให้อ๋องโจวเหวิน ดังนั้นเขาจึงมักจะนั่งแช่เบ็ดอยู่ริมน้ำ ทำทีเป็นตกปลาแต่คันเบ็ดกลับไม่ได้แขวนเหยื่อปลาไว้ เพื่อเฝ้ารอให้อ๋องโจวเหวินมาพบ
      
      เจียงไท่กงเอาแต่ทำท่าตกปลาทั้งวัน ทำให้ครอบครัวอดอยากยากแค้น หม่าซื่อภรรยาของเขารังเกียจที่เขายากจนไม่มีอนาคตจึงต้องการหย่าขาดไม่ต้องการอยู่ร่วมกับเขาอีกต่อไป แม้ว่าเจียงไท่กงจะทัดทานและปลอบใจนางว่าอีกไม่นานเขาก็จะลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง แต่หม่าซื่อเข้าใจว่าเขาเพียงแต่ใช้คำพูดลมๆ แล้งๆ หลอกลวง นางจึงไม่เชื่อและจากไปในที่สุด
      
      ภายหลัง เจียงไท่กงได้รับความไว้วางใจจางอ๋องโจวเหวิน ทั้งยังช่วยเหลืออ๋องโจวอู่ในการผนึกกำลังจูโหว(เจ้าหัวเมือง)ในแต่ละท้องที่ล้มล้างราชวงศ์ซางก่อตั้งราชวงศ์โจวตะวันตก(ซีโจว) ได้สำเร็จ
      
      ด้านหม่าซื่ออดีตภรรยา เมื่อได้ข่าวว่าเจียงไท่กงมีทั้งชื่อเสียงและเงินทอง ก็รู้สึกเสียดายที่ในครั้งก่อนไม่ยอมเชื่อฟังเขา นางจึงตัดสินใจกลับมาหาเจียงไท่กงเพื่อหวังจะรื้อฟื้นความสัมพันธ์ในอดีต
      
      ทว่าเจียงไท่กงได้รับรู้แล้วว่าหม่าซื่อเป็นคนเช่นไรจึงไม่อยากได้ภรรยาเช่นนางอีกต่อไป ดังนั้นเมื่อฟังคำขอร้องจากหม่าซื่อจบ เขาจึงคว้าเหยือกน้ำมาเทน้ำลงบนพื้น และบอกให้อดีตภรรยาช่วยเก็บน้ำที่เทออกไปคืนกลับมาให้เขา
      
      หม่าซื่อได้ฟังจึงรีบก้มตัวลงไปกอบน้ำที่พื้น แต่กลับได้มาเพียงดินโคลน ครานี้เจียงไท่กงจึงพูดกับนางว่า "เจ้าได้จากข้าไปแล้ว เราจึงไม่อาจอยู่ร่วมกันอีก เช่นเดียวกับน้ำที่เทลงบนพื้น ย่อมยากที่จะเก็บกลับคืน"
      
      "น้ำที่สาดออกไปแล้วไม่มีทางที่จะเก็บกลับคืนมาได้" ปัจจุบันใช้เปรียบเทียบกับเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วหรือลงมือทำไปแล้ว ย่อมไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไข
其实在声同,除了找资料以外,还可以交交朋友。欢迎光临声同网
rar分段压缩方法请点这里
12#
发布于:2008-05-10 12:36
酒好不怕巷子深(泰语)
จิ่ว ห่าว ปู๋ ผ้า เซียง จื่อ เซิน(酒好不怕巷子深) : สุราดี ย่อมไม่กลัวตรอกลึก
      "สุราดี ย่อมไม่กลัวตรอกลึก" เป็นสำนวนที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศจีนมาตั้งแต่โบราณกาล ในเชิงวัฒนธรรมสำนวนดังกล่าวสะท้อนความเป็นชนชาติ ลักษณะเฉพาะของท้องถิ่น และความอุดมสมบูรณ์ของชีวิตประชากรได้เป็นอย่างดี ใช้เปรียบเทียบกับของที่ดีจริง แม้ว่าจะได้มาด้วยความยากลำบาก แต่ผู้คนก็ยังพยายามดั้นด้นเสาะหาจนพบ "  
      
      สำนวนนี้เริ่มใช้กันที่เมืองหลูโจว ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดสุราที่โด่งดัง ในสมัยราชวงศ์หมิง และ ราชวงศ์ชิง ในเมืองมีตรอกซึ่งเป็นที่หมักสุราที่ทั้งแคบและลึกอยู่ตรอกหนึ่ง ในตรอกนั้นมีร้านสุราอยู่ 8 ร้าน ซึ่งเป็น 8 ร้านที่ผลิตสุรามีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลูโจว โดยหนึ่งในนั้นคือร้านที่อยู่ด้านในสุดของตรอก ที่มีบ่อหมักสุราเก่าแก่ที่สุด ดังนั้นสุราที่นี่จึงมีชื่อเสียงที่สุดในบรรดา 8 ร้าน และเพื่อให้ได้ลิ้มรสสุราดี ผู้คนจึงต่างก็ดั้นด้นเข้าไปที่ร้านสุราที่อยู่ลึกที่สุดของตรอก

      เล่ากันมาว่า ปีค.ศ. 1873 ผู้นำทางการเมืองผู้หนึ่ง ซึ่งมีบทบาทในการต่อต้านราชวงศ์ชิง นามว่าจางจื่อต้ง ได้รอนแรมทางไกลเพื่อมาร่ำสุราร่ายโคลงกลอน ณ เมืองหลูโจว ขณะก้าวขึ้นเรือ พลันจมูกก็ได้กลิ่นสุราที่หอมหวนลอยมากับสายลม เขาสูดดมด้วยความกำซาบไปถึงจิตใจ และสั่งให้คนไปนำสุรานั้นมาให้เขา
  
      ทว่าคนรับใช้หายไปครึ่งวัน ปล่อยให้จางจื่อต้งเฝ้ารอด้วยความหิวกระหายและโกรธเกรี้ยว จนบ่ายคล้อยจึงมองเห็นคนรับใช้ผู้นั้นแบกไหสุราไหหนึ่งวิ่งมาด้วยความรีบร้อน เมื่อมาถึงเขาจึงเปิดไหสุราออกมา และพบว่ากลิ่นหอมพลันลอยตลบอบอวล จางจื่อต้งพูดซ้ำๆ กันเพียงว่า สุราที่ดี สุราที่ดี และเพียงยกดื่มได้ 1 จอกก็รับรู้ได้ถึงรสเลิศของสุรา ทำให้โทสะของจางจื่อต้งคลายลง และถามคนรับใช้ว่า "สุรานี้ท่านได้แต่ใดมา?" คนรับใช้รีบกล่าวว่า “ผู้น้อยได้ฟังว่า ร้านสุราที่ตั้งอยู่ในตรอกลึกตรอกหนึ่งมีสุราที่ดีที่สุด ดังนั้นผู้น้อยจึงลัดเลาะ ดั้นด้นไปตามตรอกที่คดเคี้ยวและแคบลึกจนถึงร้านที่อยู่ในสุดของตรอก และได้ซื้อสุราไหนี้กลับมา” จางจื่อต้งได้ฟังจึงรำพึงว่า “สุราดี ย่อมไม่กลัวตรอกลึก”

      ความหมาย ของดีไม่ว่าอยู่ที่ไหนย่อมมีคนพยายามตามไปเสาะหาจนพบ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ทองแท้ย่อมเปล่งประกาย

      สำนวนดังกล่าวแพร่หลายมากระทั่งถึงปัจจุบัน
其实在声同,除了找资料以外,还可以交交朋友。欢迎光临声同网
rar分段压缩方法请点这里
13#
发布于:2008-05-10 16:02
是不是正规的翻译呢
14#
发布于:2008-08-09 12:43
才刚学呢,如果有翻译就好了,英文的也行啊~~~~~~
站在月亮上看地球跳舞,转呀...转呀...转呀...转... ...
15#
发布于:2008-08-12 11:08
在cri上有一个专门的成语板块,大家可以到那上面去看很多很多,而且好些还有中国人自己读的MP3在线收听。
不过,我不喜欢那种收听的感觉。



当然,我推荐大家直接看泰国网站上泰国人自己整理的那种,比较原汁原味。缺点是很少有MP3。

[ 本帖最后由 lj_yongheng 于 2008-8-12 11:24 编辑 ]
16#
发布于:2008-08-14 22:37
感谢分享~
17#
发布于:2008-08-20 10:23
真希望能看懂...
18#
发布于:2008-09-02 21:52
啊~这个不错哦~!拿走啦~!最近刚好闲着,先看看呢~
19#
发布于:2008-09-04 10:37
给个CRI的网站呀~~~
上一页
游客

返回顶部